
สีสันของซานต้า
ศิมล ผู้เขียน

ไม่ทันไรวันเวลาก็ผ่านพ้นล่วงเลยจนจะหมดปีเก่าต้อนรับปีใหม่แล้ว
คงเป็นเช่นที่เขาว่ากัน วันเวลามักผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลมเสมอ และเพื่อต้อนรับการมาถึงของเดือนสุดท้ายของปีอย่างเดือนธันวาคม
ทางเราจึงขอหยิบยกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเทศกาล
อันเป็นดั่งเอกลักษณ์ประจำเดือนนี้มาให้ทุกท่านได้อ่านกัน
หากแต่สิ่งที่จะแฝงไปกับเนื้อหาที่เราจะนำเสนอ
ไม่ได้มีเพียงเรื่องราวของเทศกาลที่ว่าเพียงอย่างเดียว
มนุษย์เราล้วนต้องการสิ่งจรรโลงจิตใจด้วยกันทั้งนั้น
ซึ่งศิลปะเองก็ถือเป็นหนึ่งสิ่งที่มนุษย์เราเลือกใช้เป็นการผ่อนคลาย
หรือจรรโลงจิตใจด้วยเช่นกัน
ดังนั้น เนื้อหาในบทความนี้จะนำพาทุกท่านไปพบกับศิลปะ
ที่มาพร้อมกับเทศกาลคริสต์มาส
วันคริสต์มาส (Christmas Day) หรือ วันสมโภชพระคริสตสมภพ เป็นวันที่ถูกจัดขึ้นในวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี
เพื่อเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซูเจ้า
ผู้ซึ่งเป็นศาสดาสูงสุดของคริสต์ศาสนิกชน
เชื่อกันว่า คำว่า “Christmas” นั้น มาจากคำในภาษาอังกฤษ
สมัยกลาง นั่นคือคำว่า Christemasse ซึ่งมาจาก
คำในภาษาอังกฤษสมัยเก่าคำว่า Cristes mæsse อีกที
จนเกิดเป็นคำประสมที่มีความหมายว่า “พิธีมิสซาของพระคริสต์” หรือ “พิธีมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์” นั่นเอง
คริสต์มาสจึงถือเป็นวันที่มีความสำคัญมาก และถูกจัดให้เป็น
วันหยุดทางศาสนาและเป็นวัฒนธรรมของหลาย ๆ ประเทศ
นั่นเพราะ ผู้นับถือศาสนาคริสต์มีความเชื่อว่า
พระเยซูหาใช่ปุถุชนคนธรรมดา แต่พระองค์ทรงเป็นบุตรของ
พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด ท่านจึงมีสถานะเปรียบดั่งมนุษย์
และเทพเจ้าไปในตัว ดังนั้นการบังเกิดมาของท่าน
จึงถือว่าเป็นเหตุการณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
และในวันคริสต์มาสนี้เอง ก็ยังทำให้เกิดประเพณี
และวัฒนธรรมที่ปฏิบัติกันมาอย่างแพร่หลายมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นการห้อยถุงเท้า การตกแต่งต้นคริสต์มาส
หรือแม้กระทั่งการปรากฏตัวของคุณลุงตัวโตใจดี
ผู้คอยแจกของขวัญให้กับบรรดาเด็กดีทั้งหลาย
อย่างซานตาคลอสด้วย
นอกจากประเพณีและวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมา
อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของวันคริสต์มาส
นั่นก็คือสีต่าง ๆ ที่ถูกใช้ในเทศกาล
สีแดง สีเขียว สีขาว และสีทอง เป็นสีสันที่พวกเรามักจะ
เห็นกันจนชินตาในวันคริสต์มาส ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ ของตกแต่ง ก็มักจะประกอบไปด้วยสีทั้ง 4 สีนี้แทบทั้งสิ้น ซึ่งแต่ละสีก็ล้วนมีความหมายที่แตกต่างกัน
และเป็นตัวแทนของความสุขที่มอบแก่ผู้คนได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แล้วทำไมสีที่ใช้ในวันคริสต์มาสจึงต้องเป็นสีเหล่านี้ด้วยนะ ? เป็นสีอื่นไม่ได้หรือ ?
วันนี้เราจะพาทุกคนมาหาคำตอบกัน
สีแดง
เมื่อพูดถึงเทศกาลวันคริสต์มาส สีที่แทบจะเป็นแม่งานและขาดไปไม่ได้เลยนั่นก็คือ สีแดง
เชื่อกันว่า สีแดงเป็นสีของผลฮอลลี่
ซึ่งต้นฮอลลี่เป็นต้นไม้ที่สามารถออกดอกออกผลได้ดี
ในช่วงฤดูหนาวที่เต็มไปด้วยหิมะ โดยชาวเซลติกโบราณเชื่อว่า ต้นฮอลลี่คือสัญลักษณ์ของผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์
ในทางศาสนา ใบของต้นฮอลลี่ที่มีรูปทรงแหลมคมสื่อถึงมงกุฎหนามของพระเยซูคริสต์ ในขณะที่สีแดงที่มาจากผลฮอลลี่สื่อถึงโลหิตของพระเยซูที่ถูกตรึงบนกางเขน คริสต์ศาสนิกชนจึงมักใช้ผลสีแดงจากต้นฮอลลี่
เป็นสัญลักษณ์ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระเยซูคริสต์
ผู้ซึ่งเป็นศาสดาในศาสนาของพวกเขา
ดังนั้น สีแดงจึงหมายถึง ความรักและความศรัทธา
ของคริสต์ศาสนิกชนที่มีต่อพระเยซู
นอกจากนี้ สีแดงยังเป็นสีที่บ่งบอกถึงความรัก
ความกล้าหาญความโอบอ้อมอารี และความตื่นเต้น
อีกทั้งสีแดงยังเป็นสีประจำตัวของซานตาคลอส
และยังเป็นสีของเดือนธันวาคมอีกด้วย
นอกจากสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ประจำวันคริสต์มาสแล้ว จะขาดสีคู่เคียงอย่างสีเขียวไปได้อย่างไร
สีเขียว
สีเขียวถือเป็นสีของต้นไม้ เป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติ
ความสดชื่น ความชื่นชมยินดี ความเยาว์วัย และความหวัง
ที่จะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับเทศกาลวันคริสต์มาสก็คือเทศกาลแห่งความหวังนั่นเอง
โดยสีเขียวที่พวกเรามักจะพบได้มากที่สุด
ในเทศกาลวันคริสต์มาสนั่นก็คือ สีเขียวจากต้นคริสต์มาส
ซึ่งต้นคริสต์มาสแต่เดิมนั้นคือต้นสนที่นำมาประดับตกแต่งด้วยอุปกรณ์นานาชนิดให้กลายเป็นต้นคริสต์มาส
เพราะใบของต้นสนมีสีเขียวเข้มตลอดปี
อีกทั้งยังทนทานต่อทุกสภาพอากาศ
เปรียบได้กับชีวิตของเราที่ต้องยืนหยัดอดทน
ให้เหมือนกับต้นสน ซึ่งจะสอดคล้องกับต้นไม้
ที่เป็นสัญลักษณ์ของสีเขียวในเทศกาลวันคริสต์มาส
นั่นก็คือ ต้น Evergreen ต้นไม้ที่ได้ขึ้นชื่อว่า
มีใบสีเขียวตลอดปีและตลอดกาล
สีขาว
ในทางศาสนา สีขาวเปรียบได้กับความบริสุทธิ์ของพระเยซู ผู้ซึ่งไม่มีแม้แต่บาปติดตัวพระองค์เลยแม้แต่น้อย
แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังทรงสละชีพของตนมายอมรับความผิดบาปแทนคริสต์ศาสนิกชนทั้งปวง
ในวันคริสต์มาสที่ถือเป็นวันประสูติของพระองค์นั้น คริสต์ศาสนิกชนทั้งหลายจึงพร้อมใจกันระลึกถึง
คุณงามความดีของพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้
นอกจากสีขาวยังหมายถึงความบริสุทธิ์ ความรุ่งเรือง และความสงบสุขแล้ว
สีขาวยังเป็นตัวแทนของหิมะในฤดูหนาวอีกด้วย
เนื่องจากเทศกาลวันคริสต์มาสถูกจัดขึ้นในช่วงฤดูหนาวพอดิบพอดี ตามท้องถนนหรือตามหลังคาบ้านเรือน นอกจากจะถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟระย้าเพื่อการเฉลิมฉลองแล้ว
หิมะสีขาวโพลนก็เป็นหนึ่งสิ่งที่ปรากฏขึ้นและปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณด้วยเช่นกัน
แม้ในประเทศไทยนั้นจะไม่มีปรากฎการณ์ดังกล่าวก็ตาม
สีทอง
และแล้วก็มาถึงสีสุดท้ายที่เป็นแม่งานหลักของเทศกาลวันคริสต์มาสกันแล้ว สีดังกล่าวก็คือสีทองนั่นเอง
สีทองในแง่ความหมายของสี หมายถึง ความสูงส่ง ความสำเร็จ ความรอบรู้ ความมั่นใจ และคุณธรรม
ส่วนสีทองหรือสีเหลืองสำหรับเทศกาลคริสต์มาส เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของความสว่างไสว เปรียบเสมือนแสงแห่งความหวัง เพราะเทศกาลคริสต์มาสก็เป็นเทศกาลแห่งความหวังด้วยเช่นกัน
ในอดีตมีความเชื่อว่า ในวันที่พระเยซูได้ประสูติ มีดวงดาวส่องแสงสว่างไสวอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งดวงดาวเหล่านั้นเองได้นำทางให้นักปราชญ์ทั้งสามได้เดินทางมาพบกับสถานที่ที่พระเยซูได้ประสูติลงมาบนโลกมนุษย์
บริเวณด้านบนสุดหรือยอดของต้นคริสต์มาสจะถูกประดับไปด้วยของตกแต่งอย่างดาวประดิษฐ์สีเหลืองทองอร่าม เปรียบเสมือนความสว่างไสวจากดวงดาวที่ส่องแสงเรืองรองเข้ามายังโลกอันมืดมิดของเราด้วย
ความหมายของแต่ละสีที่ถูกหยิบยกมาใช้ หาใช่เพื่อให้สอดคล้องเข้ากับเทศกาลแต่เพียงอย่างเดียวไม่
การเลือกใช้สีต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีเหตุที่ส่งผลให้ผู้คนเกิดอารมณ์และความรู้สึกไปกับเทศกาลนั้นด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ในหลักวงจรสี สีแดงและสีเขียวเป็นคู่สีที่อยู่ตรงข้ามกัน ด้วยความแตกต่างของโทนสี
ผู้คนจึงมักหลีกเลี่ยงทั้งสองสีไม่ให้นำมาใช้คู่กัน แต่ในเทศกาลคริสต์มาส ทั้งสองสีดังกล่าวถูกนำมาใช้
ให้อยู่ร่วมกัน และสามารถกลมกลืนเข้ากันได้เป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ยังเป็นเครื่องการันตี
และตอกย้ำให้เราเห็นว่า ไม่ว่าเราทุกคนจะเป็นคนเชื้อชาติไหน ศาสนาใด มีค่านิยม หรือทฤษฎีแบบใด
แต่ศิลปะก็ยังคงเป็นวัฒนธรรมที่ดำเนินชีวิตร่วมไปกับผู้คนทั้งในอดีตและปัจจุบันอยู่ดี
เพราะศิลปะอยู่รอบตัวพวกเราทุกคน
Merry Christmas and Happy New Year.