“อะไรบางอย่าง
ในการเรียนรู้ของเจ้าเด็กจิ๋ว”
เมธี ผู้เขียน
“School of Thought” ชุดความคิดบางอย่างที่หลายคนยึดถือร่วมกัน เป็นคำที่ค่อนข้างเข้าใจยากหากได้ฟังเป็นครั้งแรก มันแฝงด้วยความลึกซึ้งในหลายแง่มุม ทั้งในทางปฏิบัติที่หากมีชุดความคิดหรือค่านิยมบางอย่างเกิดขึ้น คนหรือในจุดที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้คือครูย่อมมีชุดความคิดที่ต่างกัน อาจเป็นผลมาจากการได้รับประสบการณ์และการถ่ายทอด ส่งต่อความรู้มาในรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามค่านิยมที่กลุ่มยึดถือ
หากขยายเพิ่มเติมให้เห็นภาพ School of Thought ทางการศึกษานั้นมีด้วยกันหลายอย่าง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การลงโทษเด็กด้วยการตี กลุ่มสังคมที่มีการถ่ายทอดชุดความคิดเรื่องการตีจะยังคงยึดถือและมองว่าการตีให้เด็กเกิดความเจ็บปวดทำให้เด็กหยุดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ แต่หารู้ไม่ว่าการตีนั้นนอกจากไม่ได้ทำให้เด็กหยุดพฤติกรรมบางอย่างแล้วนั้น มันยังสร้างบาดแผลทางจิตใจอันยากเกินจะเยียวยาให้กับเด็กอีกด้วย เพราะการตีเพียงที่เกิดขึ้นแม้เพียงครั้งเดียวนั้นทำให้จิตใจของเด็กสลายและยากจะกู้คืนกลับมา
ค่านิยมและชุดความคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยก็เช่นกัน หากจะให้พูดกันจริง ๆ แล้ว “เด็กปฐมวัยไม่ได้กำลังเรียนแต่เด็กปฐมวัยกำลังเรียนรู้” เพราะวัยนี้ไม่ควรอย่างยิ่งที่เด็กจะต้องลุกขึ้นมาจับดินสอและเขียนตัวอักษรอย่างจริงจัง เพราะเด็กไม่ต้องการการสอบแบบผู้ใหญ่ เด็กกำลังเรียนรู้ “อะไรบางอย่าง” ด้วยการเล่นและประสาทสัมผัส


ส่วนตัวแล้วผู้เขียนไม่อาจขยายความคำว่า “อะไรบางอย่าง” ในการเรียนรู้ของเด็กได้เลยด้วยซ้ำ เพราะมองว่าอะไรบางอย่างไม่ใช่แค่อะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างไม่ใช่อะไรก็ได้ และอะไรบางอย่างคือบางอย่างที่ไม่อาจจำกัดอยู่ในกรอบของคำว่าควรเป็นอย่างไร การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยเช่นกัน มันไม่มีกรอบตายตัว ดังนั้น คำถามที่ว่า “เรียนครูปฐมวัยต้องสอนวิชาอะไร” นั้น อาจเป็นคำถามที่ขัดแย้งในตัวของมันเอง สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติมคือ เราไม่ได้สอน เพราะเด็กก็ไม่ได้เรียนเช่นกัน นี่อาจจะเป็นข้อแตกต่างที่ทำให้การศึกษาปฐมวัยนั้นสำคัญมาก ๆ และนำไปสู่ข้อสงสัยอีกอย่างหนึ่งคือ “ถ้าไม่สอนแล้วเด็กจะได้อะไร”
ผู้เขียนเห็นด้วยว่า ถ้าครูไม่สอนเด็กก็จะไม่ได้อะไร แต่ในระดับชั้นปฐมวัยการไม่สอนคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ครูควรเกิดขึ้นกับเด็ก คำถามสำคัญในเรื่องราวของเด็กคือ เราอยากให้เด็กอ่านออกเขียนได้ไปเพื่ออะไรในเมื่อมันยังไม่ใช่เรื่องจำเป็นในช่วงวัยของเขา สิ่งจำเป็นในวันนี้คือเขาต้องเล่น ต้องทำกิจวัตรประจำวันได้ ต้องสื่อสารได้พอสมควร นี่แหละคือสิ่งที่เด็กควรรู้
ย้อนกลับมาที่พ่อแม่ผู้ดูแล ในหลาย ๆ ครั้ง เด็กคือภาพสะท้อนการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่เด่นชัด พ่อแม่หลายคนยอมรับว่าลูกคือเครื่องหมายแห่งความสำเร็จในความเป็นพ่อเป็นแม่ แต่ความจริงไม่ใช่เลยด้วยซ้ำ เด็กไม่ใช่ตัวแทนของใคร เด็กเป็นตัวแทนของตัวเขาเอง เด็กไม่ต้องทำเพื่อใคร เด็กต้องทำเพื่อตัวของเขาเอง
ในปัจจุบันเราพูดคุยกันถึงความเจ็บปวดของเด็กในหลากหลายมิติ ทั้งทางกายและทางใจ เด็กทุกคนไม่สมควรพบเจอกับความเจ็บปวดที่ร้ายแรง เด็กควรเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม หลายคนคิดว่าความเจ็บปวดคือส่วนหนึ่งของการเติบโต แต่ก็อาจลืมนึกไปว่าเด็กไม่ควรเติบโตมาพร้อมกันความเจ็บปวด และผู้เขียนยังยืนยันว่าเด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ในร่างเด็ก ไม่ใช่ผ้าขาว ไม่ใช่กระดาษเปล่าปราศจากเรื่องราวและสีสัน แต่เด็กเกิดมาพร้อมกับ “อะไรบางอย่าง” ในตัว อะไรบางอย่างที่ไม่อาจจินตนาการหรือคาดเดาได้ และอะไรบางอย่างที่ไม่ควรมีไว้เป็นพื้นที่แห่งความเจ็บปวด
สุดท้ายนี้ ขอให้ความเจ็บปวดของเด็ก ๆ สูญสลายไปกับกาลเวลา จงเติบโตต่อไป เติบโต เรียนรู้ และเบ่งบานอย่างที่ใครก็ไม่อาจจินตนาการถึง จงเป็นแบบนั้นกันเถอะเด็ก ๆ

