top of page
24.png

ศิลปะกับวันฮาโลวีน

ศิมล ผู้เขียน

                  

    ไม่ทันไรวันเวลาก็ผ่านพ้นจนล่วงเลยจะเข้าเดือนสิบของปีแล้ว ก็คงเป็นเช่นที่เขาว่ากัน วันเวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลมเสมอ และเพื่อต้อนรับเดือนตุลาคม

  ทางเราจึงจะขอหยิบยกเรื่องราวเกี่ยวกับเทศกาลที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญประจำเดือนนี้มาให้ทุกท่านได้อ่านกัน หากแต่สิ่งที่จะแฝงไปกับเนื้อหา 

หาใช่แต่เพียงเรื่องราวของเทศกาลที่ว่าเพียงอย่างเดียวไม่ มนุษย์เราล้วนต้องการสิ่งจรรโลงจิตใจด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งศิลปะเองก็ถือเป็นหนึ่งสิ่งที่มนุษย์เราเลือกที่จะใช้เป็นการผ่อนคลาย หรือจรรโลงจิตใจเช่นกัน ดังนั้น เนื้อหาในบทความนี้จะนำพาทุกท่านไปพบเจอกับศิลปะที่มาพร้อมกับเทศกาลดังกล่าวกัน

       วันฮาโลวีน (Halloween) หรือที่เราเรียกกันว่าเป็นวันปล่อยผี แท้จริงแล้วเป็นเทศกาลสำคัญที่ผู้นับถือศาสนาคริสต์จัดขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองให้กับชีวิตหลังความตาย

    โดยเชื่อกันว่า ต้นกำเนิดของวันฮาโลวีนนั้นได้รับอิทธิพลมาจากเทศกาลของชาวเคลต์ (Celts) ซึ่งคาดคะเนว่า คำว่า Halloween มีการเพี้ยนมาจากคำว่า All Hallows' Eve ที่แปลว่า คืนก่อนวันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งวันอันศักดิ์สิทธิ์ที่หมายถึง ก็คือวัน All Saints' Day หรือ วันนักบุญ

ทั้งหลาย นั่นเอง

       ฮาโลวีนจะจัดขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ผู้คนในสมัยก่อนมีความเชื่อว่า ในช่วงนี้ของปีนั้น เป็นช่วงที่ประตูระหว่างโลกของคนเป็นหรือโลกมนุษย์ กับประตูของคนตายหรือโลกวิญญาณนั้นจะหายไป    ส่งผลให้คนเป็นและคนตายสามารถโคจรมาพบเจอหรือติดต่อสื่อสารกันได้ผ่านค่ำคืนนี้

 

แล้วฮาโลวีนเกี่ยวข้องอะไรกับศิลปะ ?

                    การแต่งกายด้วยชุดผี

         เมื่อประตูระหว่างสองภพถูกเปิดออก วิญญาณจากปรโลกก็จะกลับคืนสู่โลกมนุษย์ บ้างก็อาจจะมาพบญาติสนิทมิตรสหายของตน บ้างก็อาจจะมาติดต่อสื่อสารกับบุคคลที่

ยังคงมีลมหายใจ แต่ทว่าวิญญาณที่กลับขึ้นมานั้น หาได้มีแต่วิญญาณดีแต่เพียงอย่างเดียวไม่ ดังเช่นเหรียญมักมีสองด้าน เมื่อมีวิญญาณดีที่ไม่ประสงค์สิ่งใด ก็ย่อมมีวิญญาณร้าย

ที่หมายจะเอาชีวิตมนุษย์ด้วยเช่นกัน

          จากความเชื่อเช่นนี้ ผู้คนจึงเลือกที่จะสวมชุดหนังสัตว์ หรือสวมใส่หน้ากากที่ทำออกมาให้คล้ายคลึงกับภูติผี

เพื่อแฝงตัวไปกับเหล่าวิญญาณ อีกทั้งยังเป็นการปิดบังตนเองป้องกันภัยอันตรายจากวิญญาณร้ายอีกด้วย

         ซึ่งเครื่องแต่งกายและหน้ากากเหล่านั้น ผู้คนที่สวมใส่ล้วนต้องเลือกหาหรือสรรค์สร้างมาด้วยน้ำมือของตนเอง

ทั้งสิ้น ดังนั้นสำหรับคนสมัยก่อนที่เครื่องไม้เครื่องมือและทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด จินตนาการถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถรังสรรค์ผลงานออกมาได้เหมือนจริงจากฝีมือของตนเอง

         ด้วยวิวัฒนาการที่เปลี่ยนไป ทำให้ปัจจุบันเราสามารถเลือกซื้อเครื่องแต่งกายเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องออกแรงประดิษฐ์เองเหมือนแต่เดิมแล้ว แต่กระนั้น สิ่งที่ถูกผลิตออกมาก็ยังคงถูกคิดค้น อีกทั้งยังถูกเสริมเติมแต่งให้มีรูปร่างและสีสันที่เหมือนจริงกว่าแต่ก่อน สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่มาจากจินตนาการของผู้สร้างทั้งสิ้น

          

ประเพณีหลอกหรือเลี้ยง

      ในวันฮาโลวีน เหล่าบรรดาเด็ก ๆ ต่างแต่งกาย

ตัวเองด้วยชุดภูตผีหรือชุดแฟนซี แล้วออกเดินไปขอขนม ไม่ว่าจะเป็นลูกกวาด ลูกอม หรือช็อกโกแลตตามบ้าน

ต่าง ๆ พร้อมกับพูดวลีเด็ดอย่าง “Trick or Treat ~” ที่เหมือนเป็นคำถามเชิงคำขู่แกมหยอก โดยเจ้าของบ้านหลังดังกล่าวนั้น นอกจากจะมีการตกแต่งบ้านของตนให้เข้ากับฮาโลวีนแล้ว ก็ยังอาจจะเตรียมขนมไว้แจกจ่ายให้กับเหล่าเด็ก ๆ ด้วย

กิจกรรมนี้ก็แทบไม่แตกต่างอะไรกันกับ

การแต่งกายด้วยชุดผีเลยแม้แต่น้อย เพราะยังคงประกอบไปด้วยจินตนาการของผู้สวมใส่ และผู้ออกแบบเป็นสำคัญ หากแต่สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมา นั่นก็คือ นี่จะเป็นกิจกรรมเฉพาะสำหรับเด็กเท่านั้น ลูกเล่นหรืออุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ก็อาจจะมากขึ้น ตามความชอบและความสนใจของเด็กแต่ละคน

 การแกะสลักตะเกียงฟักทอง

    นอกจากประเพณีทริกออร์ทรีตแล้ว สิ่งที่จะขาด

ไม่ได้สำหรับเทศกาลฮาโลวีน นั่นก็คือ การแกะสลัก

ลูกฟักทองให้กลายเป็น ตะเกียงฟักทอง หรือที่เรียกว่า

แจ็คโอแลนเทิร์น (jack o'lantern) นั่นเอง

     แจ็คโอแลนเทิร์น (jack o'lantern) ถือเป็นอุปกรณ์ประดับตกแต่งประจำเทศกาลฮาโลวีน โดยจะมีลักษณะทางกายภาพเป็นฟักทองสีส้มลูกใหญ่ ที่จะนำมาแกะสลักให้เป็นรูปหน้าคนในอิริยาบถต่าง ๆ

     โดยการแกะสลัก ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ต้องใช้สมาธิสูง เพราะต้องมีความประณีตและงดงาม แม้การแกะสลักตะเกียงฟักทองนั้น อาจจะไม่ต้องแสดงถึงความประณีตมากนักเหมือนอย่างการแกะสลักผลไม้หรือผักต่าง ๆ ของบ้านเรา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่ก็ถือเป็นศิลปะด้านการแกะสลัก

อย่างหนึ่งเช่นกัน อีกทั้งการใช้ตะเกียงฟักทองนี้นั้น ก็เพื่อเป็นการระลึกถึง แจ็ค ชาวนาในตำนาน ผู้ซึ่งต่อกรกับซาตานอย่างกล้าหาญ โดยไม่ประหวั่นพรั่นพรึงอีกด้วย

          ในประเทศไทย ด้วยความที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ฮาโลวีนจึงอาจไม่เป็นที่นิยมมากนัก แต่สำหรับ

ฝั่งตะวันตกหรือฝั่งยุโรปนั้น ฮาโลวีนถือเป็นเทศกาลประจำปีที่สำคัญ และได้รับความนิยมมากเลยทีเดียว

          บรรดาห้างสรรพสินค้า รวมไปถึงบ้านพักของผู้คน ล้วนถูกตกแต่งเพื่อให้เข้ากับเทศกาลฮาโลวีนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ประกอบฉาก งานเลี้ยงสังสรรค์ของผู้คนล้วนจัดขึ้นในรูปแบบรวบรวมเหล่าภูตผี ไม่เว้นแม้กระทั่ง

การเลือกเฉดของสีเองก็ตาม

         ซึ่งความหมายของแต่ละสีที่ถูกหยิบยกมาใช้นั้น หาใช่เพื่อให้สอดคล้องเข้ากับเทศกาลแต่เพียงอย่างเดียวไม่

การเลือกใช้สีต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีเหตุที่ส่งผลให้ผู้คนเกิดอารมณ์และความรู้สึกไปกับเทศกาลนั้นด้วย โดยสีที่เป็นแม่งานของฮาโลวีนนั้น มีด้วยกันอยู่ 3 สี นั่นก็คือ สีส้ม สีแดง และสีดำ

         สีส้ม มีความหมายที่สะท้อนถึงพลัง ความกระตือรือร้น การผจญภัย การดึงดูดความสนใจ จิตวิญญาณ อีกทั้งยัง

แสดงถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต ความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุดิบสำคัญที่เป็นเอกลักษณ์ของฮาโลวีน หรือก็คือ

ผลฟักทองนั่นเอง

         สีแดง มีความหมายที่แสดงถึงความตื่นเต้น ความกล้าหาญ รวมไปถึงความโกรธ ก้าวร้าว รุนแรง ในเทศกาลฮาโลวีนผู้คนมักนำมาใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนเลือด ซึ่งเมนูอาหารถือเป็นตัวแทนในการบอกเล่าเรื่องราวได้ดีที่สุด โดยเฉพาะแอปเปิลเคลือบน้ำตาล (Toffee Apple หรือ Candy Apple) เพราะผลแอปเปิลนั้นมีสีแดงสด อีกทั้งน้ำตาลที่นำมาเคลือบบนผิวของผลแอปเปิลยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจของสีสันอีกด้วย

       และสีสุดท้ายที่ขาดไปไม่ได้ นั่นก็คือ สีดำ โดยความหมายของสีดำนั้นหลากหลายไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นการสะท้อนถึงพลังอำนาจ ความลึกลับ ความน่าเกรงขาม อีกทั้งยังแสดงถึงความทุกข์ ความโศกเศร้า การมองโลกในแง่ร้าย ความมืด และความตาย สำหรับเทศกาลที่ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองเพื่อโลกหลังความตายแล้ว สีดำจึงเป็นสีที่มีความสำคัญต่อเทศกาลฮาโลวีนเป็นอย่างยิ่ง

         สิ่งเหล่านี้นั้นยิ่งเป็นเครื่องการันตี และตอกย้ำให้เราเห็นว่า ไม่ว่าเราทุกคนจะมาจากเชื้อชาติไหน ศาสนาใด แต่ศิลปะ

ก็ยังคงเป็นวัฒนธรรมที่ดำเนินชีวิตร่วมไปกับผู้คนทั้งในอดีตและปัจจุบันอยู่ดี

 

       การสร้างผลงานอาจเกิดขึ้นจากความบังเอิญ หรือความไม่ตั้งใจ เขาหรือเธอเหล่านั้นอาจจะไม่รู้ตัว ว่าทุกกิจกรรมที่

พวกเขากำลังทำหรือปฏิบัติอยู่นั้น ล้วนแล้วแต่แอบแฝงไปด้วยการถ่ายทอด และการรังสรรค์ของศิลปะแทบทั้งสิ้น

      แต่ละคนต่างก็มีความเชื่อ วัฒนธรรม ความสามารถ และสำคัญอย่างยิ่ง เอกลักษณ์ของแต่ละคนก็ล้วนแตกต่างกันออกไปด้วย ดังนั้น หากศิลปะชิ้นไหนที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมหรือประเพณีใด อาจเกิดขึ้นจากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี แต่ทุกสิ่งที่ว่ามานั้น ล้วนเป็นศิลปะที่ก่อให้เกิดความจรรโลงใจต่อมนุษย์ไม่ต่างกัน

 

เพราะศิลปะอยู่รอบตัวพวกเราทุกคน.

bottom of page